อาการ เข่าบวม ปวดเข่า เดินไม่ไหว วิธีรักษาเข่าบวม
เข่าบวม เกิดจาก มีน้ำมาสะสมข้างในข้อเข่าหรือรอบข้อเข่าของเรา อาจเป็นเพราะเกิดการอักเสบ เรียกว่าเป็นสภาวะการไหลเวียนที่ผิดปกติในข้อเข่าของเรา
หัวเข่าบวม อาจเป็นผลมาจากบาดเจ็บ การใช้งานมากเกินไปหรือโรคแทรกซ้อนที่อยู่ภายในร่างกาย หากต้องการหาสาเหตุของอาการเข่าบวม ทางคลินิกอาจต้องทดสอบการเคลื่อนไหวเพื่อตรวจหาการติดเชื้อโรค หรือเลือดออกจากการบาดเจ็บ
การลดปริมาณของน้ำบางส่วนอาจช่วยลดอาการปวดและความตึงเครียดที่เกี่ยวข้องกับการบวม หลังจากที่ทราบสาเหตุที่ทำให้หัวเข่าบวมแล้ว สามารถวางแผนการรักษาได้เลย
ข้อเข่าของคุณเป็นข้อต่อที่เชื่อมต่อระหว่างกระดูกต้นขา และปลายขา เป็นข้อต่อที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย ข้อเข่ายังมีกระดูกที่เชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อและเส้นประสาท
ทุกสาเหตุสิ่งที่ทำให้ข้อเข่าเสียหายหรือสามารถทำให้เกิดการบวมขึ้น มักมาจากการได้รับบาดเจ็บที่ข้อเข่าหรือมีโรคแทรกซ้อนที่ทำให้เนื้อรอบข้อเข่าเสียหาย ข้อเข่าของคุณอาจบวมและปวดมาก
สังเกต 4 อาการ เมื่อมีข้อเข่าบวม
- ปวดเข่า
- ความตึงตัวภายในข้อ
- มีสีแดงจากอาการบวม
- รู้สึกถึงความร้อนหรือความอุ่น
สาเหตุ เข่าบวม
มีหลายสาเหตุของปัญหาที่ทำให้เกิดอาการหัวเข่าบวม ตั้งแต่บาดเจ็บจากการบาดเจ็บที่รุนแรง รวมถึงโรคและสภาวะอื่น ๆ บางประการ
อาการและสัญญาณเข่าบวม
บวม ผิวรอบข้อเข่าอาจบวมขึ้นมองเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบข้อเข่ากับอีกข้างหนึ่ง
ตึง ขณะที่ข้อเข่ามีของเหลวมากเกินไป อาจไม่สามารถงอหรือเหยียดขาได้ทั้งหมด
ปวด อาการปวดขึ้นอยู่กับสาเหตุของการสะสมของของเหลว ข้อเข่าอาจจะเจ็บมาก จนถึงขั้นที่เป็นไปไม่ได้ที่จะทนต่อแรงกดของน้ำหนักตัว
การบาดเจ็บ หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นที่ส่วนใดของหัวเข่า สามารถทำให้ของเหลวสะสมในข้อเข่ามากขึ้น การบาดเจ็บที่ทำให้เกิดการสะสมของของเหลวภายในและรอบข้อเข่าอาจรวมถึงสาเหตุ ดังต่อไปนี้
- การฉีกขาดของเส้นเอ็น โดยเฉพาะ ACL หรือ เอ็นไขว้หน้าเข่าขาด
- การฉีกขาดกระดูกเส้นเอ็น (meniscus)
- การระคายเคืองจากการใช้งานข้อเข่ามากเกินไป
- กระดูกที่แตกร้าว
บาดเจ็บ ACL เอ็นไขว้หน้าเข่าขาด
เอ็นไขว้หน้าเข่า (ACL) เป็นหนึ่งในข้อต่อสำคัญที่ช่วยในการทำให้ข้อเข่ามีความมั่นคง เชื่อมต่อระหว่างข้อต่อเข่าบน (femur) กับต้นต่อเข่าล่าง (tibia) มักเกิดการฉีกขาดขณะเล่นกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวโดยฉับพลันและการเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว เช่น บาสเกตบอล ฟุตบอล เทนนิส และวอลเลย์บอล
กระดูก Meniscus แตกเป็นชิ้น
Meniscus คือชิ้นเนื้อเยื่อที่มีรูปร่างเป็นตัว C ที่แข็งแรงและยืดหยุ่นทำหน้าที่เป็นตัวดูดซับแรงสะเทือนระหว่างกระดูก ซึ่งสามารถแตกได้หากเราหมุนเข่าอย่างกะทันหัน
โรคแทรกซ้อน
โรคที่อาจทำให้เกิดการสะสมของน้ำในข้อเข่าและรอบข้อเข่าประกอบด้วย
- โรคข้อเข่าเสื่อม
- โรคข้อเข่า Rheumatoid
- การติดเชื้อ
- โรคเกาต์
- โรค Pseudogout
- การอักเสบของถุงน้ำข้างเข่า
- เนื้องอก
ปัจจัยเสี่ยง เกิดเข่าบวม
ปัจจัยที่อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการมีเข่าที่บวมปวดรวมได้แก่
อายุ โอกาสที่เราจะเจออาการเข่าบวม มักมาจากข้อเข่าเสื่อมที่เกี่ยวข้องกับโรคข้อเสื่อมเมื่อเรามีอายุที่มากขึ้น
เล่นกีฬา ผู้ที่เล่นกีฬาที่เกี่ยวข้องกับการบิดเข่า เช่น บาสเก็ตบอล มีโอกาสมากขึ้นที่จะประสบกับการบาดเจ็บของเข่าที่ทำให้เกิดอาการบวม
โรคอ้วน น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน ทำให้มีแรงกดที่เพิ่มขึ้นในข้อเข่า ส่งผลให้เกิดการทำลายของเนื้อเยื่อและข้อต่อ ซึ่งทำให้เกิดอาการเข่าที่บวมได้
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นไปได้ของอาการเข่าบวม
การสูญเสียกล้ามเนื้อ
ขาดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ น้ำหล่อเลี้ยงในเข่าอาจทำให้กล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ และทำให้กล้ามเนื้อต้นขาอ่อนแรงลง
ถุงน้ำ (Baker cyst) ที่เต็มไปด้วยน้ำ
การสะสมของน้ำในเข่าอาจทำให้เกิด Baker Cyst คือภาวะถุงน้ำหลังหัวเข่าเกิดความผิดปกติบริเวณข้อเข่าด้านหลัง พบก้อนนิ่มที่มีน้ำอยู่ภายในบริเวณข้อเข่าด้านหลัง ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บและบวม แต่อาการมักจะดีขึ้นด้วยการวางน้ำแข็งประคบ หากอาการบวมรุนแรง เราอาจต้องนำน้ำในข้อเข่าออกด้วยกระบอกสูญญากาศ
การป้องกัน
ข้อเข่าที่บวมเป็นผลมาจากการบาดเจ็บหรือโรคที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ในการรักษาสุขภาพทั้งหมดและป้องกันการบาดเจ็บ เราสามารถทำตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้
เสริมกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า
กล้ามเนื้อที่แข็งแรงรอบข้อเข่า ช่วยลดความกดดันที่กระทบต่อข้อเข่าได้
เลือกการออกกำลังกายที่มีแรงกดดันน้อย
กิจกรรมบางประการ เช่น เต้นแอโรบิคในน้ำ และว่ายน้ำ ไม่ทำให้ข้อเข่าของเราต้องรับแรงจากน้ำหนักตัว
รักษาน้ำหนักที่เหมาะสม
น้ำหนักเกิน ทำให้เกิดความเสียหายที่ส่งผลให้ข้อเข่าบวมได้
แนวทางการรักษาเข่าบวม
วิธีการรักษาการบวมของข้อเข่า ขึ้นอยู่กับประเภทของการบวมนั้น ๆ หากประสบกับอาการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ ควรพบแพทย์เฉพาะทางใกล้บ้านทันที
หากมีอาการ สามารถรักษาการข้อเข่าบวมที่ไม่ได้มีการบาดเจ็บด้วยตนเองได้ที่บ้าน งดทำกิจกรรมด้านกีฬาหรือทำกิจกรรมใด ๆ ที่อาจทำให้ข้อเข่าเสียหายมากขึ้น เริ่มต้นที่การทานยารักษาอาการปวดและลดการอักเสบได้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะทานยาแก้ปวดเป็นระยะเวลาเกิน 10 วันติดต่อกัน
ปฏิบัติตามวิธี RICE เพื่อลดอาการปวด
Rest: หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดบาดเจ็บ อย่าใช้งานเข่ามากเกินไปขณะที่ข้อเข่ากำลังหาย เป็นเวลา 24 ชั่วโมงหรือมากกว่า เพื่อให้เข่าของเราได้พักผ่อนและมีโอกาสหาย
อย่างไรก็ตาม ควรยืดเหยียดข้อเข่าอย่างอ่อนโยนและฝึกงอเข่าหลายครั้งต่อวัน อย่างน้อยจะช่วยรักษาการเคลื่อนไหวได้
Ice : เข่าบวม ประคบ น้ำแข็ง นำถุงน้ำแข็งที่ห่อด้วยผ้าบาง ๆ วางบนเข่าของคุณเป็นเวลา 15 ถึง 20 นาทีต่อครั้ง ทุก 2 ถึง 4 ชั่วโมงในช่วง 2 ถึง 3 วันแรกหลังจากเกิดบาดเจ็บที่เข่า เป็นวิธีที่จะช่วยควบคุมความเจ็บปวดและลดบวม อย่าลืมนำน้ำแข็งมาหอระหว่างประคบน้ำแข็งกับผิวหนังของเราเพื่อป้องกันการทำให้ผิวหนังเสียหา
Compression: พันข้อเข่าด้วยผ้ายืดเพื่อช่วยลดการบวม ห่อผ้ายืดดรอบเข่าให้พอดีเพื่อป้องกันอาการบวม แต่อย่าห่อแน่นเกินไป เนื่องจากอาจทำให้ขาและเท้าที่อยู่ตำแหน่งต่ำบวมขึ้นได้
Elevation: จัดท่าข้อเข่าและขาของขึ้นเหนือระดับของหัวใจ เพื่อลดอาการบวม นั่งหรือนอนพัก พร้อมยกขาขึ้นขณะที่ประคบน้ำแข็งที่เข่า วางขาขึ้นบนโต๊ะที่สูงหรือหมอนเพื่อลดการไหลเวียนเลือดไปที่เข่าที่มีปัญหา เทคนิคนี้จะช่วยลดการอักเสบ
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าขาของเราอยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับหัวใจ เป็นขั้นตอนสุดท้ายในวิธี RICE ที่นิยมทำกัน ซึ่งหมายถึง การพักผ่อน (Rest), ประคบน้ำแข็ง (Ice), การรัด (Compression), และการยกขาขึ้น (Elevation)
3 แนวทางการรักษาอย่างง่าย
ทานยาต้านการอักเสบ
สามารถช่วยลดอาการปวดข้อเข่าได้ ยารับประทานเองเช่น พาราเซตามอล (ไทเลนอล) และไอบูโพรเฟน (แอดวิล, โมตริน) เป็นตัวเลือกที่สามารถหาได้ง่ายที่ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ และออนไลน์
ในขณะที่พาราเซตามอลเป็นตัวรักษาอาการปวดเท่านั้น Ibuprofen, Aspirin และ Naproxen เป็นยารักษาที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบด้วย ยาเหล่านี้จัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่ายารักษาอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยดอยด์ (NSAIDs) การใช้ยารักษาอักเสบสามารถช่วยบรรเทาอาการบวมของเข่าได้
การนวด
การนวดเข่าอาจช่วยให้ของเหลวไหลจากข้อต่อได้ เราสามารถนวดตัวเองได้ด้วยการนวดเบา ๆ หรือหากต้องการนวดจากผู้เชี่ยวชาญการนวดมืออาชีพก็ได้
สำหรับการนวดด้วยตัวเอง เลือกที่จะใช้น้ำมัน Castor Oil ช่วยปกป้องผิวจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ช่วยต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์ที่สามารถทำให้เกิดโรค ลงในเข่าของเราได้ ไม่เพียงที่น้ำมันจะช่วยให้มือของเราสามารถลูบไปมาบนเข่าได้ง่ายขึ้น แต่การทา Castor Oil ลงบนผิวยังเป็นที่นิยมใช้นวดในการลดปวดและการอักเสบด้วย
บริหารกล้ามเนื้อรอบหัวเข่า
ทำกิจกรรมออกแรงเพื่อเสริมแรงต้านให้กล้ามเนื้อที่หัวเข่าของเรา การที่กล้ามเนื้อรอบเขาแข็งแกร่งสามารถช่วยลดแรงกดที่เกิดขึ้นที่ข้อต่อได้ การฝึกออกแรงต้านนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะทำให้กล้ามเนื้อสลายเมื่ออายุมากขึ้น
เป็นไอเดียที่ดีที่จะทำให้หัวเข่าแข็งแรงเพื่อป้องกันการเสื่อมและบวมของหัวเข่า มีการออกกำลังกายหลายแบบที่ช่วยให้หัวเข่าแข็งแรงได้
- การฝึกความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ เช่น โยคะ
- การเต้นแอโรบิคในน้ำ และการว่ายน้ำ
- การรักษาน้ำหนักตัวไม่ให้เกิน ยังช่วยป้องกันการสึกหรอที่ทำให้หัวเข่าบวม
การผ่าตัดเพื่อลดบวมของข้อเข่า
คนที่มีอาการบวมของข้อเข่าไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัดเสมอไป หากอาการบวมเกิดจากบาดเจ็บ เช่น เส้นเอ็นฉีกขาด เป็นต้น คุณอาจต้องทำการผ่าตัดข้อเข่าโดยใช้วิธี Knee Arthroscopy คือการผ่าตัดส่องกล้องรักษาข้อเข่า โดยใช้กล้องขนาดเล็กส่องเข้าไปในข้อ และนำภาพภายในข้อเข่ามาแสดงยังจอรับภาพ เพื่อช่วยให้แพทย์ซ่อมแซมความเสียหายภายในข้อเข่าของเราได้อย่างง่ายดาย
หากมีโรคข้ออักเสบและมีอาการรุนแรง เช่น บวมและปวดในข้อเข่าทำให้เกิดความยากลำบากในการทำกิจวัตรประจำวัน แพทย์มักจะแนะนำให้ทำการผ่าตัด ในกรณีที่การรักษาอื่น ๆ ไม่สามารถบรรเทาอาการของเราได้ แพทย์จะแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับสิ่งที่เราต้องเตรียมตัวและระยะเวลาในการฟื้นตัว
วิธีป้องกันการบวมของข้อเข่า
ขณะเล่นกีฬาหรือกิจกรรมทางกาย
- สวมอุปกรณ์ป้องกันที่ถูกต้อง
- ไม่ควร “เล่นกีฬาต่อ” เมื่อรู้สึกเจ็บข้อเข่าระหว่างหรือหลังกิจกรรมทางกาย
- ให้ร่างกายมีเวลาพักผ่อนและฟื้นตัวหลังจากทำกิจกรรมที่หนัก
- ยืดและเตรียมตัวก่อนที่จะเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย
- หลังจากทำกิจกรรมทางกาย ให้ทำการคลายร่างกายและยืดตัวทุกครั้ง
ควรพบแพทย์เมื่อไหร่
อาการปวดข้อเข่า เข่าบวม จะมีความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล หากมีอาการปวดหัวเข่ารุนแรงมาก ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงกลุ่มไหนก็ตาม ให้รีบไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจเร็วที่สุด โดยสามารถประเมินระดับความรุนแรงของความเจ็บปวดด้วยตนเองได้ ด้วยการให้คะแนนความเจ็บปวด (Pain Scale) ตั้งแต่ 0 ถึง 10 คะแนน โดยให้จินตนาการความเจ็บปวด ที่เจ็บปวดรุนแรงที่สุด ที่ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป ที่ 10 คะแนน และไม่เจ็บปวดเลยที่ 0 คะแนน และหากมีคะแนนความเจ็บปวด มากกว่า 5 คะแนนขึ้นไป อาจถือได้ว่ามีความผิดปกติรุนแรง ให้รีบพบแพทย์เฉพาะทาง เพื่อวางแผนการรักษาฟื้นฟูต่อไป
แนะนำให้พบแพทย์หากมีอาการรุนแรง
การช้ำเลือดหรือบวมในข้อเข่าสามารถทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้ อย่างไรก็ตาม บางอาการอาจไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ นอกจากกรณีที่มีอาการรุนแรง
ต่อไปนี้คืออาการที่จำเป็นต้องรักษาทางการแพทย์โดยเร็วที่สุด
- ปวดรุนแรง จนนอนไม่หลับ
- ไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือใช้เข่าได้
- บาดเจ็บรุนแรง เช่น ตกจากที่สูง (เช่น จากบันได) หรืออุบัติเหตุรถยนต์
- ได้ยินหรือรู้สึกมีเสียงในข้อเข่า ขณะที่ล้ม ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการบวมด้วย
- รู้สึกว่าเข่าไม่มั่นคง เป็นสิ่งที่มักเกี่ยวข้องกับอาการเข่าบวมตึง
- อาการบวมของเข่าอาจรวมถึงกระดูกหัก
- เข่ารู้สึกอุ่นหลังจากการหกล้ม อาจเป็นสัญญาณของการอักเสบจากเส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บ ความอุ่นยังอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือกระดูกอักเสบอีกด้วย
- ไม่สามารถลงน้ำหนักบนเข่าได้ อาจหมายความว่ามีความเสียหายทางโครงสร้างที่ข้อต่อ
- พื้นที่รอบเข่าเป็นแผลบวมแดง หลังจากบาดเจ็บ เป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
การวินิจฉัย อาการปวดเข่า เข่าบวม
แพทย์เฉพาะทางจะเริ่มต้นการรักษาด้วยการเก็บประวัติที่ละเอียดและการตรวจร่างกาย หลังจากนั้นจะต้องทำการทดสอบเพื่อหาคำตอบว่าสาเหตุของการเกิดข้อเข่าบวม เข่าอักเสบ คืออะไร
การวิเคราะห์หาสาเหตุจากภาพ
การวิเคราะห์จากภาพ สามารถช่วยให้เห็นว่าปัญหาข้อเข่าอยู่ตรงจุดไหน เกิดความผิดปกติอย่างไร
X-ray
ทำให้รู้ว่ามีกระดูกที่แตกร้าวหรือข้อต่อที่หลุดหรือไม่ และสามารถรู้ได้ว่าเรามีข้ออักเสบหรือไม่
Ultrasound
การทดสอบนี้ใช้คลื่นเสียงเพื่อตรวจหาข้อเข่าที่เสียหาย ที่มีผลกระทบต่อเส้นเอ็น
MRI
โดยใช้คลื่นวิทยุและสนามแม่เหล็กตรวจหาการบาดเจ็บที่เกิดกับเส้นเอ็น และการบาดเจ็บที่เกิดกับโครงสร้างที่เป็นเนื้อเยื่ออ่อนที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา
การเจาะน้ำจากข้อเข่า Joint aspiration (arthrocentesis)
แพทย์จะดึงน้ำออกจากข้อเข่า จากนั้นน้ำนี้จะถูกตรวจสอบเพื่อหาการมีของสิ่งผิดปกติหรือโรค
- เลือด ซึ่งอาจมาจากบาดเจ็บหรือโรคเลือด
- เชื้อ Bacteria ที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ
- ผลึกสำหรับโรคเกาต์ หรือโรคเกี่ยวกับเกิดก้อนผลึกในข้อเข่า
แนวทางการดูแล ไม่ต้องผ่าตัด หากมีอาการปวดเข่า เข่าบวม เข่าอักเสบ
หากพบว่ามีอาการปวดหัวเข่า เข่าอักเสบ หรือเข่าบวมแดง อย่างรุนแรง หรือเริ่มมีอาการ ชาเข่า แพทย์เฉพาะทางอาจพิจารณาแนวทางการรักษาด้านการแพทย์ ที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ซึ่งแนวทางการรักษา ฟื้นฟู ที่เป็นไปได้ มีดังนี้
- รับประทานยาแก้ปวด หรือ ยาแก้อักเสบ ตามความเหมาะสม สามารถลดอาการปวดได้ทันที แต่เห็นผลอยู่ได้ในระยะสั้น ต้องรับประทานยาต่อเนื่อง หรือต้องรับประทานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และอาจจะมีผลข้างเคียงที่รุนแรงตามมา
- ฉีดยาสเตียรอยด์ มักใช้ในกรณีที่มีอาการปวด หรืออักเสบ เกิดขึ้นแบบฉับพลัน หรือในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรับประทานยา โดยจะช่วยลดอาการอักเสบบวมแดง ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการใช้สเตียรอยด์ต้องใช้กรณีที่จำเป็นเท่านั้น และแพทย์พิจารณาอย่างละเอียดเป็นรายกรณีไป
- ฉีดเซลล์จากตัวเอง เพื่อนำเซลล์ที่มีความเข้มข้นสูงกว่าระดับปกติ ที่ได้มาจากการสกัดแยกด้วยกรรมวิธีทางการแพทย์ ฉีดกลับไปบริเวณที่ต้องการรักษาหรือฟื้นฟู โดยเฉพาะบริเวณเข่าที่มีปัญหา
- ทำกายภาพบำบัด โดยนักกายภาพบำบัดวิชาชีพ เป็นวิธีการรักษาหรือบรรเทาอาการปวดหัวเข่าด้วยการเน้นไปที่การบริหารกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า และด้านหลัง เพื่อช่วยให้สามารถพยุงน้ำหนักของตัวเองได้มากขึ้น ช่วยเสริมสร้าง ฟื้นฟูกล้ามเนื้อหัวเข่าให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น และยังช่วยป้องกันอาการปวดในระยะยาวได้อีกด้วย
- ใช้เครื่องมือทางการแพทย์บรรเทาปวด เป็นอีกเครื่องมือที่เข้ามาช่วยให้การรักษาเกิดประสิทธิสูง ประสิทธิผลชัดเจน เห็นผลดีและสะดวกสบายมากขึ้น เลเซอร์นี้สามารถทะลุทะลวงผ่านผิวหนังลงลึกสู่ตำแหน่งของโรคได้อย่างแม่นยำทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของเนื้อเยื่อ (Photochemical Effect) หลั่งสารที่ช่วยลดอาการปวดได้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องทานยาสามารถกระตุ้นเซลล์เพื่อใช้ในการซ่อมตัวเองในระยะยาวต่อไป
- ใช้พลังงานคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ในการกระตุ้นการสร้างกระแสไฟฟ้าในเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อของบริเวณหัวเข่าได้ ซึ่งสามารถเป็นประโยชน์ในการรักษา บรรเทา อาการปวดหัวเข่า และกู้คืนสมรรถภาพหลังอาการบาดเจ็บบริเวณเข่าได้
Leave a reply